เปิดแผนทิศทางใหม่นิสสัน โชว์เทคโนโลยีขับขี่สุดล้ำ ระบุชัดหลังก้าวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในมิตซูบิชิ มอเตอร์ เดินเกมซินเนอร์ยี่ทุกมิติ จัดซื้อชิ้นส่วน-เทคโนโลยี-แพลตฟอร์มการผลิต ชี้ชัดไทยคือยุทธศาสตร์สำคัญดันยอดขายทั้งภูมิภาค ดีเดย์เปิดตัว "นิสสัน โน้ต" อีโคคาร์ใหม่ต้น ม.ค.แน่
จากที่นิสสัน มอเตอร์ ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ตั้งแต่เมื่อกลางปี 2559 กำลังส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของนิสสันในเอเชียและเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
นายยูตากะ ซานาดะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เผยว่า ทั้งนิสสันและมิตซูบิชิสามารถซินเนอร์ยี่ซึ่งกันและกัน ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ ความร่วมมือทางเทคโนโลยี การใช้ชิ้นส่วน การใช้ประโยชน์จาก Economy of Scale เพื่อบริหารต้นทุน รวมไปถึงแพลตฟอร์มการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์แผนสร้างการเติบโตของนิสสันมาจากการเพิ่มความสามารถในกำลังการผลิตที่มีอยู่ ขณะเดียวกันแต่ละประเทศต้องให้ความสำคัญว่าจะตอบสนองความต้องการที่มีอยู่อย่างไร
"ปัจจุบันผู้ขับขี่รถในเอเชียให้ความสนใจเรื่องการปลอดภัย เรื่องของสิ่งแวดล้อม ผู้ขับขี่ยังสนใจในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ตอบสนองชีวิตที่ทันสมัย ซึ่งเราต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้"
ในการแถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวจากเอเชียและโอเชียเนียที่สำนักงานใหญ่ของนิสสันในโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น นายดานิเล่ สกิลาชี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การขายและตลาดระดับโลก บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดวิสัยทัศน์ของนิสสันด้วยว่า จะทยอยเพิ่มเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ภายใต้นวัตกรรมเคลื่อนที่อัจฉริยะ หรือ Nissan Intelligent Mobility เข้าไปในรถยนต์นิสสันรุ่นปัจจุบัน และรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ สำหรับตลาดภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนียในอนาคต
"สำหรับภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ นิสสันจะทยอยนำเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งที่มีอยู่แล้วและเป็นเทคโนโลยีใหม่ อาทิ กล้องมองรอบทิศทาง ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบช่วยลดการโยนตัวบนทางขรุขระ ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง ไปเพิ่มในรถรุ่นต่าง ๆ รวมถึงรถรุ่นใหม่ เช่น นิสสัน Note ที่นิสสันมีแผนเปิดตัวในภูมิภาครวมถึงประเทศไทย ก็จะมาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำด้วยเช่นกัน"
ขณะที่นายยูตากะ ซานาดะ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ไทยจะมีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในยุทธศาสตร์นี้ นอกจากโรงงานผลิตทั้ง 2 แห่ง ส่งออกไป 110 ประเทศทั่วโลก ที่ผ่านมานิสสันยังได้ใช้เงินลงทุนถึง 25 ล้านเหรียญ เพื่อก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ที่นี่ยังมีทีมวิศวกรที่เก่งมาก ซึ่งนิสสันพยายามจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้มากที่สุด
"ในเอเชีย-แปซิฟิก แม้ว่านิสสันและมิตซูบิชิในแง่แบรนด์จะมีความต่างกัน แต่เมื่อร่วมมือกันแล้วเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน ตัวอย่างจากการที่มิตซูบิชิมีทั้งฐานการผลิตในไทยที่แข็งแรงและมีบริการหลังการขายที่โดดเด่น ส่วนนิสสันเองก็ได้รับความนิยมในไทย และใช้ประเทศนี้เป็นฐานการผลิตสำคัญเช่นกัน"
เชื่อว่าจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ไทย อินโดนีเซีย จะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์สูงสุด และเมื่อร่วมกับการเติบโตของตลาดประเทศ CLMV จะทำให้ยอดขายทั้งนิสสันและมิตซูบิชิเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้อย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาไทยถือเป็น Regional Production Hub ของนิสสัน จากยอดการผลิตรถยนต์อัลเมร่า, เอ็กซ์-เทรล, นาวาร่า และรถรุ่นอื่น ๆ ในปี 2558 ทั้งสิ้น 160,000 คัน จำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 92,000 คัน
รายงานข่าวจากนิสสันเปิดเผยว่า มีกำหนดเปิดตัว นิสสัน โน้ต อีโคคาร์ใหม่ในปลายเดือนมกราคม 2560 อย่างแน่นอน จากที่ผ่านมานิสสันประสบความสำเร็จกับนิสสัน มาร์ช อย่างงดงาม โดยการผลิตที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้เงื่อนไข "อีโคคาร์ 1" ซึ่งมีเวลา 8 ปี และยังเหลือเวลาอยู่ ยังไม่ใช่การผลิตภายใต้เงื่อนไข "อีโคคาร์ 2" แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นายยูตากะได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สนใจที่จะนำ โน้ต อี-เพาเวอร์ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวอย่างดีในญี่ปุ่น มาจำหน่ายในประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยกำลังศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อยู่ระบบอี-เพาเวอร์ มีความโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับระบบไฮบริดแบบดั้งเดิม ซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กช่วยส่งกำลังให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน ขณะที่อี-เพาเวอร์ จะมีเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดเล็กทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ก่อนที่กระแสไฟจะส่งต่อให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับคลื่อนตัวรถ
ทั้งนี้ ระบบอี-เพาเวอร์ ถือเป็นพัฒนาการของนิสสันที่ต้องการเป็นผู้นำผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังเป็นระบบที่เข้ามาแก้ปัญหาของนิสสัน ลีฟ ที่จำเป็นต้องมีสถานีจ่ายไฟกระจายอย่างทั่วถึง
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.noteclubthailand.com
